
ในยุคที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลรัฐของไทยจำเป็นต้องยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างเร่งด่วน เพื่อปกป้องข้อมูลผู้ป่วยและระบบสำคัญ ต่อไปนี้คือขั้นตอนสำคัญในการเสริมสร้าง cybersecurity ให้กับโรงพยาบาลรัฐไทย:
1.จัดตั้งโครงสร้างการกำกับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยมีผู้บริหารระดับสูงเป็นประธาน
กำหนดนโยบายและมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่ชัดเจน
จัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระยะ 3-5 ปี
รายงานสถานะความเสี่ยงและการปฏิบัติตามมาตรฐานต่อผู้บริหารทุกไตรมาส
2.เสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์
ติดตั้งระบบป้องกันอีเมลฟิชชิ่งและมัลแวร์ที่ทันสมัย
ใช้การยืนยันตัวตนหลายปัจจัย (MFA) สำหรับการเข้าถึงระบบสำคัญทุกระบบ
ติดตั้งระบบตรวจจับและป้องกันการบุกรุก (IPS/IDS)
แบ่งแยกเครือข่ายและจำกัดการเข้าถึงตามหลักการ least privilege
ติดตั้งระบบป้องกันการโจมตีแบบ DDoS
3.ยกระดับการจัดการช่องโหว่และการแพทช์ระบบ
ทำการสแกนหาช่องโหว่อย่างน้อยทุกไตรมาส
จัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่และดำเนินการแก้ไขภายใน 30 วัน
ติดตั้งแพทช์ความปลอดภัยภายใน 14 วันหลังจากมีการเผยแพร่
ทำการทดสอบเจาะระบบ (penetration testing) อย่างน้อยปีละครั้ง
4.เพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองต่อเหตุการณ์
จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงปลอดภัย (SOC) แบบ 24x7
พัฒนาแผนตอบสนองต่อเหตุการณ์และทดสอบแผนทุก 6 เดือน
เข้าร่วมเครือข่ายแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคาม เช่น TH-CERT
จัดเตรียมทีมตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน (CERT) พร้อมปฏิบัติงาน 24/7
5.ยกระดับความปลอดภัยของอุปกรณ์การแพทย์ที่เชื่อมต่อเครือข่าย
จัดทำบัญชีและตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์การแพทย์ทั้งหมด
แยกเครือข่ายสำหรับอุปกรณ์การแพทย์ออกจากเครือข่ายทั่วไป
ปรับปรุงการตั้งค่าความปลอดภัยเริ่มต้นของอุปกรณ์ทุกชิ้น
ติดตามการอัปเดตความปลอดภัยจากผู้ผลิตและติดตั้งภายใน 30 วัน
6.เสริมสร้างความตระหนักด้านความปลอดภัยไซเบอร์ให้บุคลากร
จัดอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์ให้พนักงานทุกคนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
จัดทำแคมเปญสร้างความตระหนักรายเดือน
จัดการทดสอบฟิชชิ่งจำลองทุกไตรมาสเพื่อประเมินความตระหนักของพนักงาน
สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์
7.บริหารจัดการความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน
ประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของซัพพลายเออร์หลักทุกราย
กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับซัพพลายเออร์
ตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรฐานของซัพพลายเออร์อย่างน้อยปีละครั้ง
จำกัดการเข้าถึงระบบของซัพพลายเออร์เท่าที่จำเป็น
8.ปรับปรุงการจัดการทรัพย์สินไอที
จัดทำบัญชีทรัพย์สินไอทีที่ครบถ้วนและปรับปรุงทุกเดือน
จัดประเภทและกำหนดระดับความสำคัญของทรัพย์สินทั้งหมด
ติดตามและควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ส่วนตัวในเครือข่ายองค์กร
กำหนดนโยบายการจัดการทรัพย์สินตลอดวงจรชีวิต
9.เพิ่มการป้องกันข้อมูล
เข้ารหัสข้อมูลสำคัญทั้งขณะจัดเก็บและส่งผ่านเครือข่าย
ติดตั้งและกำหนดค่าระบบป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล (DLP)
จำกัดการเข้าถึงข้อมูลตามหลักการ need-to-know
สำรองข้อมูลทุกวันและทดสอบการกู้คืนทุกเดือน
10.พิจารณาทำประกันภัยไซเบอร์
ประเมินความคุ้มค่าของการทำประกันภัยไซเบอร์
ศึกษาเงื่อนไขและข้อยกเว้นของกรมธรรม์อย่างละเอียด
ปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เป็นไปตามเงื่อนไขกรมธรรม์
ทบทวนและปรับปรุงความคุ้มครองเป็นประจำทุกปี
การดำเนินการตามขั้นตอนข้างต้นอย่างจริงจังและต่อเนื่องจะช่วยยกระดับความพร้อมด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของโรงพยาบาลรัฐไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การปรับใช้ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับบริบทและทรัพยากรของแต่ละโรงพยาบาล โดยเน้นการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นความท้าทายสำคัญของโรงพยาบาลในยุคดิจิทัล การลงทุนในด้านนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อปกป้องข้อมูลผู้ป่วย รักษาความต่อเนื่องในการให้บริการ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน โรงพยาบาลรัฐไทยควรเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้โดยเร็วที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน