top of page

Attack Surface Management (ASM): เกราะป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ยุคใหม่


Attack Surface Management (ASM) คืออะไร?
Attack Surface Management (ASM) คืออะไร?

ในยุคดิจิทัลที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว องค์กรต่างๆ เผชิญกับความท้าทายในการปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Attack Surface Management (ASM) หรือ การจัดการพื้นผิวการโจมตี จึงกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถระบุ จัดการ และลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Attack Surface Management คืออะไร?

ASM คือกระบวนการที่ครอบคลุมการค้นหา ตรวจสอบ และจัดการทุกจุดที่อาจถูกโจมตีทางไซเบอร์ (Attack Surface) ซึ่งรวมถึง:

  • แอปพลิเคชัน: เว็บแอปพลิเคชัน แอปพลิเคชันมือถือ และ API

  • เว็บไซต์: ทั้งสาธารณะและภายในองค์กร

  • เครือข่าย: อินเทอร์เน็ต เครือข่ายส่วนตัว และคลาวด์

  • อุปกรณ์: คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์ IoT

  • โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์: ทั้งแบบสาธารณะ ส่วนตัว และไฮบริด

ทำไม ASM จึงมีความสำคัญ?

  1. เพิ่ม Visibility: ช่วยให้องค์กรมองเห็นภาพรวมของสินทรัพย์ทั้งหมด รวมถึงสินทรัพย์ที่ไม่รู้จัก (Unknown Assets) และช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้น

  2. ลดความเสี่ยง: ช่วยในการระบุและจัดการช่องโหว่ได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ผู้โจมตีจะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่เหล่านั้น

  3. ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง: รองรับการขยายตัวของพื้นผิวการโจมตีที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีคลาวด์ IoT และการทำงานระยะไกล

  4. เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน: ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถจัดลำดับความสำคัญและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประเภทของพื้นผิวการโจมตี

  • External ASM (EASM): จัดการสินทรัพย์ภายนอกองค์กร เช่น เว็บไซต์ โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์สาธารณะ และบัญชีโซเชียลมีเดีย

  • Internal ASM (IASM): จัดการสินทรัพย์ภายในองค์กร เช่น เครือข่ายภายใน อุปกรณ์ และแอปพลิเคชันภายใน

  • Cyber Asset ASM (CAASM): จัดการสินทรัพย์ไซเบอร์ เช่น ซอฟต์แวร์ ข้อมูล และทรัพย์สินทางปัญญา

  • Open Source ASM (OSASM): จัดการซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส เช่น ไลบรารี เฟรมเวิร์ก และเครื่องมือต่างๆ

ฟังก์ชันหลักของ ASM

  1. การค้นพบ (Discovery): ระบุและจัดทำรายการสินทรัพย์ทั้งหมดในเครือข่าย

  2. การทำแผนผัง (Mapping): เชื่อมโยงสินทรัพย์กับหน่วยงานและระบบที่เกี่ยวข้อง

  3. การให้บริบท (Context): วิเคราะห์ความเสี่ยงในบริบทขององค์กร เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

  4. การจัดลำดับความสำคัญ (Prioritization): จัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่ตามความรุนแรงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

  5. การแก้ไข (Remediation): ดำเนินการแก้ไขช่องโหว่ที่พบ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตี

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลต่อพื้นผิวการโจมตี

  • การเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้น: อุปกรณ์และระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น ทำให้พื้นผิวการโจมตีขยายตัว

  • การใช้งานคลาวด์: การย้ายระบบและข้อมูลไปยังคลาวด์ ทำให้เกิดความซับซ้อนในการจัดการความปลอดภัย

  • อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT): อุปกรณ์ IoT จำนวนมากมักมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ทำให้เป็นเป้าหมายของการโจมตี

  • การทำงานระยะไกล: การเข้าถึงระบบจากระยะไกลเพิ่มความเสี่ยงในการถูกโจมตี

  • การบูรณาการกับบุคคลที่สาม: การเชื่อมต่อกับระบบของบุคคลที่สามอาจเป็นช่องทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบภายใน

  • ช่องว่างทักษะด้านความปลอดภัยไซเบอร์: การขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้าน Cybersecurity ทำให้ยากต่อการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

ALPHASEC พันธมิตรด้าน Attack Surface Management

ALPHASEC พร้อมให้คำปรึกษาและบริการด้าน Attack Surface Management ที่ครอบคลุม เพื่อช่วยให้องค์กรของคุณสามารถจัดการพื้นผิวการโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์

ติดต่อ AlphaSec วันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาฟรี!


ดู 232 ครั้ง
bottom of page