ในยุคดิจิทัลที่การโจมตีไซเบอร์ทวีความรุนแรงขึ้น ประเทศผู้นำและพันธมิตรสำคัญต่างวางยุทธศาสตร์ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เพื่อปกป้องผลประโยชน์และโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีแนวทางหลักๆ ดังนี้
สหรัฐฯ และอังกฤษ:
พัฒนาบุคลากร ป้องกันระบบเครือข่าย และทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชน
พัฒนาขีดความสามารถเชิงรุกทางไซเบอร์ เพื่อปกป้องผลประโยชน์และสนับสนุนภารกิจทางทหาร
สร้างความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อรับมือภัยคุกคามร่วมกัน
NATO:
ไม่มีแผนเชิงรุก แต่ร่วมมือกันป้องกันไซเบอร์ในหมู่ประเทศสมาชิก เช่น การแบ่งปันภาระ พัฒนาขีดความสามารถ และซ้อมรับมือเหตุการณ์ร่วมกัน
จีนและรัสเซีย:
พัฒนายุทธวิธีทางไซเบอร์ที่แยบยล โดยดึงผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ เอกชน และมหาวิทยาลัยมาร่วมกัน
ผสมผสานปฏิบัติการไซเบอร์เข้ากับการทหารแบบดั้งเดิม
ออสเตรเลียและแอฟริกาใต้:
เน้นการสร้างความตระหนัก ปกป้องโครงสร้างสำคัญ และสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร
ไม่มีแผนเชิงรุก แต่เตรียมพร้อมเชิงป้องกัน
แม้รายละเอียดแตกต่างกันบ้างตามบริบท แต่ทุกฝ่ายตระหนักว่าภัยคุกคามไซเบอร์ไร้พรมแดน ต้องพัฒนาขีดความสามารถและร่วมมือกันรับมือทั้งในและต่างประเทศ ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงสูญเสียอำนาจอธิปไตยและความมั่นคงในโลกไซเบอร์ในที่สุด การกำหนดยุทธศาสตร์ชัดเจนและครอบคลุมจึงเป็นก้าวแรกสำคัญในการเตรียมพร้อม ก่อนจะผนึกกำลังหาแนวทางรับมือร่วมกันต่อไป
ยุทธศาสตร์ทางทหารของสหรัฐฯ ในการเสริมความได้เปรียบในมิติไซเบอร์
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้กำหนดยุทธศาสตร์ทางทหารด้านไซเบอร์อย่างครอบคลุม เพื่อเสริมศักยภาพในการป้องกันและปฏิบัติการเชิงรุกในโลกออนไลน์ ตอบโต้ภัยคุกคามที่มีวิวัฒนาการรวดเร็วและรุนแรง โดยเน้น 3 พันธกิจหลัก ได้แก่
ปกป้องระบบและโครงข่ายของกลาโหม
เตรียมพร้อมรับมือการโจมตีที่กระทบรุนแรงต่อผลประโยชน์ชาติ
ใช้ขีดความสามารถไซเบอร์สนับสนุนปฏิบัติการทางทหารเมื่อได้รับคำสั่ง
โดยจะขยายความสามารถการโจมตีคืนตามหลักจริยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ หลังใช้การป้องกันและบังคับใช้กฎหมายเป็นลำดับแรก ทั้งนี้จำเป็นต้องมีกำลังพลที่ได้รับการฝึกฝนดีพร้อมอุปกรณ์ล้ำสมัย เตรียมพร้อมรับมือภาวะเครือข่ายถูกโจมตีเสียหาย เสริมความสามารถสืบสวนแหล่งที่มาของการโจมตีด้วยความร่วมมือข่าวกรองและพันธมิตร และบูรณาการการปฏิบัติการไซเบอร์เข้ากับการสงครามทางบก น้ำ อากาศ อย่างไร้รอยต่อ
อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์ปัจจุบันยังมีจุดอ่อน เช่น ขาดแผนรับมือภัยคุกคามจากห่วงโซ่อุปทาน ปล่อยให้เอกชนคุมความปลอดภัยเองโดยไม่มีมาตรฐาน กระบวนการจัดหาอุปกรณ์ล่าช้าไม่ทันเทคโนโลยี และบุคลากรยังไม่เพียงพอ
สิ่งที่ควรเพิ่มเติมคือ เข้มงวดตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานไซเบอร์ บังคับใช้มาตรฐานความปลอดภัยขั้นต่ำ กำหนดกรอบบริหารจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจน ปรับปรุงระบบจัดซื้อให้ยืดหยุ่นรวดเร็วขึ้น และสร้างเส้นทางอาชีพจูงใจคนเก่งให้เข้าสู่วงการ
ในระยะยาว อาจต้องจัดตั้ง Cyber Force โดยเฉพาะ แทนการดึงกำลังจากหลายหน่วยงานแบบปัจจุบัน โดยมีสายบังคับบัญชาและงบประมาณของตัวเอง ลดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค เพิ่มความคล่องตัวในการจัดหาขีดความสามารถอย่างฉับไว
สุดท้าย ยุทธศาสตร์ด้านไซเบอร์ต้องปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ยืดหยุ่นพลิกแพลงตามสถานการณ์ เพื่อรักษาความได้เปรียบท่ามกลางภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในอาณาจักรไซเบอร์อันไร้ขอบเขตนี้
📱 โทร: 093-789-4544
💬 Inbox: m.me/AlphaSecTH
📧 อีเมล: contact@alphasec.co.th
🔗 เว็บไซต์: https://www.alphasec.co.th
📲 ไลน์: https://line.me/ti/p/%40347dhwii